ปรากฏการณ์ต่อไปนี้ เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง ในขณะที่บรรดาเหล่านักรบธรรม ขึ้นไปกราบพ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช ณ ภูดานไห อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์
ภาวนาสมาธิท่ามกลางแสงอาทิตย์
"ภูผาผึ้ง" เป็นดินแดนที่อยู่ใกล้กับภูดานไห อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ ดินแดนแห่งนี้ นับเป็นดินแดนของ "พระอริยเจ้า" และเหล่าผู้สร้างบารมีทั้งหลาย
วันที่ 13 สิงหาคม 2554 เวลาประมาณบ่ายโมง เมื่อพ่อแม่ครูอาจารย์มีเมตตาสอนธรรม และปฏิบัติธรรมบนลานหินยอดภูผาผึ้ง ขณะกำลังเข้าสมาธิ แสงอาทิตย์ได้แผ่รังสีพลานุภาพอย่างแรงกล้า มากที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา ทั้งที่ก่อนหน้านั้นท้องฟ้าครึ้ม แต่เพียงชั่วระยะไม่กี่นาที แสงอาทิตย์ก็แผดจ้าออกมา ทุกคนจึงได้รับพลังประหลาดนั้น แม้จะถูกรังสีแผดกล้า เหมือนไฟกำลังไหม้ผิวหนังอย่างรุนแรง แต่ความเย็นกลับแผ่ซ่านไปทั้งอินทรีย์ จิตกลับรวมอย่างรวดเร็ว และผิวกายไม่ดำไหม้ แต่กลับผ่องใสอย่างน่าอัศจรรย์ พ่อแม่ครูอาจารย์บอกว่า พระพุทธองค์มีพระเมตตาเสด็จมาอนุโมทนา
ตกกลางคืน เวลาประมาณตีหนึ่งถึงตีห้า ฝนได้ตกกระหน่ำเฉพาะบริเวณวัดภูดานไห โดยเฉพาะศาลาลานธรรม ที่เหล่านักรบธรรมกำลังนอนพักอยู่ แต่บริเวณรอบนอกวัดออกไป กลับมีแสงดาวเต็มท้องฟ้า พวกเราสี่คนมี ผม คุณสมบัติ ครูร่วมชาติ คุณประจักร์ ได้ถูกทดสอบอีกครั้ง เพราะศาลาลานธรรมที่เราอยู่นั้น หลังคารั่วและมีน้ำหลากไหลเข้ามา จนเจิ่งนองไปทั้งพื้น ท่านสมบัติและคุณประจักร์โชคดี ที่ได้เต็นท์กันน้ำได้ จึงยังคงนอนต่อไปได้ ท่ามกลางกระแสน้ำไหล ส่วนผมมีมุ้งกลด และครูชาติมีมุ้งครอบ จึงไม่สามารถกันน้ำได้ ครูชาติจึงต้องนั่งสมาธิ ท่ามกลางกระแสน้ำไหลผ่านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผมเองต้องลุกขึ้นมานั่งสมาธิ ในขณะที่ผ้าห่มก็เปียกน้ำ การนอนนั่งสมาธิท่ามกลางกระแสน้ำ และเสียงพายุฝน จึงเป็นอีกบททดสอบหนึ่ง ที่เราได้รับในการไปปฏิบัติธรรมกับพ่อแม่ครูอาจารย์ในครั้งนี้
ต่อมา พวกเราได้เดินทางไปยังเพิงผาสูง ที่มีภาพเขียนผนังคล้ายกันกับที่ผาแต้ม แต่อยู่สูงจากพื้นดินมาก และเล็กกว่า มีภาพแต้มเป็นรูปฝ่ามือของคนโบราณ ยุคก่อนประวัติศาสตร์ 3,000 ปีที่ผ่านมา ดินแดนแห่งนี้ พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านเล่าให้ฟังว่า เป็นดินแดนของเหล่าอริยเจ้า พระสงฆ์ ฤาษี ดาบส นักพรต ชีไพร แดนบังบด แดนเทพ และแดนวิญาณ มีทั้งดีและร้ายสุดๆ ผู้ใดมีพลังจิตและภูมิธรรมไม่เข้มแข็ง ไม่ควรเข้าไปบำเพ็ญผู้เดียวเป็นอันขาด
บริเวณเหล่านี้ เป็นที่พ่อแม่ครูอาจารย์ และผู้ติดตาม เคยมาบำเพ็ญอยู่หลายภพ ท่านเล่าให้ฟังว่า ภพหนึ่งท่านนุ่งห่มจีวรสีกลักเข้ม และถ้าจำไม่ผิด ผมได้ยินท่านหรือแม่ชมพูดว่า มีผู้ติดตามเป็นพระห้า เณรหนึ่ง
ตอนอยู่ในเพิงผา ผมได้นั่งสมาธิประมาณเกือบสิบนาที ปรากฏจิตดิ่งเร็วและสงบมาก แต่ต้องถอนสมาธิ เพราะหมดเวลาที่จะอยู่ตรงนั้น หลังจากนั้น องค์ พ.สุรเตโช ถามผมอย่างมีปริศนาว่า ระลึกรู้เห็นอะไรหรือเปล่า ผมตอบท่านว่า ยังไม่เห็นอะไรครับ ผมลองมาพิจารณาถึงคำพูดของท่าน หรือว่าเราเคยบำเพ็ญอยู่ ณ ที่แห่งนี้มาแล้ว จิตก็ดูคุ้นเคยกับที่แห่งนี้ เสมือนได้กลับบ้านเก่าอย่างนั้น
"ภูผาผึ้ง" เป็นดินแดนที่อยู่ใกล้กับภูดานไห อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ ดินแดนแห่งนี้ นับเป็นดินแดนของ "พระอริยเจ้า" และเหล่าผู้สร้างบารมีทั้งหลาย
วันที่ 13 สิงหาคม 2554 เวลาประมาณบ่ายโมง เมื่อพ่อแม่ครูอาจารย์มีเมตตาสอนธรรม และปฏิบัติธรรมบนลานหินยอดภูผาผึ้ง ขณะกำลังเข้าสมาธิ แสงอาทิตย์ได้แผ่รังสีพลานุภาพอย่างแรงกล้า มากที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา ทั้งที่ก่อนหน้านั้นท้องฟ้าครึ้ม แต่เพียงชั่วระยะไม่กี่นาที แสงอาทิตย์ก็แผดจ้าออกมา ทุกคนจึงได้รับพลังประหลาดนั้น แม้จะถูกรังสีแผดกล้า เหมือนไฟกำลังไหม้ผิวหนังอย่างรุนแรง แต่ความเย็นกลับแผ่ซ่านไปทั้งอินทรีย์ จิตกลับรวมอย่างรวดเร็ว และผิวกายไม่ดำไหม้ แต่กลับผ่องใสอย่างน่าอัศจรรย์ พ่อแม่ครูอาจารย์บอกว่า พระพุทธองค์มีพระเมตตาเสด็จมาอนุโมทนา
ตกกลางคืน เวลาประมาณตีหนึ่งถึงตีห้า ฝนได้ตกกระหน่ำเฉพาะบริเวณวัดภูดานไห โดยเฉพาะศาลาลานธรรม ที่เหล่านักรบธรรมกำลังนอนพักอยู่ แต่บริเวณรอบนอกวัดออกไป กลับมีแสงดาวเต็มท้องฟ้า พวกเราสี่คนมี ผม คุณสมบัติ ครูร่วมชาติ คุณประจักร์ ได้ถูกทดสอบอีกครั้ง เพราะศาลาลานธรรมที่เราอยู่นั้น หลังคารั่วและมีน้ำหลากไหลเข้ามา จนเจิ่งนองไปทั้งพื้น ท่านสมบัติและคุณประจักร์โชคดี ที่ได้เต็นท์กันน้ำได้ จึงยังคงนอนต่อไปได้ ท่ามกลางกระแสน้ำไหล ส่วนผมมีมุ้งกลด และครูชาติมีมุ้งครอบ จึงไม่สามารถกันน้ำได้ ครูชาติจึงต้องนั่งสมาธิ ท่ามกลางกระแสน้ำไหลผ่านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผมเองต้องลุกขึ้นมานั่งสมาธิ ในขณะที่ผ้าห่มก็เปียกน้ำ การนอนนั่งสมาธิท่ามกลางกระแสน้ำ และเสียงพายุฝน จึงเป็นอีกบททดสอบหนึ่ง ที่เราได้รับในการไปปฏิบัติธรรมกับพ่อแม่ครูอาจารย์ในครั้งนี้
ต่อมา พวกเราได้เดินทางไปยังถ้ำพระแห่งแดนอริยเจ้า "ภูผาผึ้ง" สถานที่แห่งนี้ พ่อแม่ครูอาจารย์ได้แสดงบางอย่าง ให้พวกเราเห็นเป็นประจักษ์ก็คือ ท่านเดินขึ้นผนังถ้ำที่สูงชันอย่างรวดเร็ว(ตัวเบา) เพียงชั่วพริบตา แต่พวกเรา โดยเฉพาะผมที่พยามปีนป่ายขึ้นไป น่าจะเร็วที่สุดก็เกือบสิบนาที พยายามตามๆท่านไปติดๆ เผลอแพล็บเดียว ท่านไปยืนอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ นี่ท่านก็สอนวิธีการเดินด้วยสติ ซึ่งผมเองก็เคยฝึกเดินขึ้นเขาโดยไม่เหนื่อยมาแล้ว แต่การเดินแบบตัวเบานั้น คงต้องใช้เวลาอีกนาน ทุกอย่างต้องมีสติอยู่เสมอ ใครสังเกตใครได้ ถึงท่านไม่ได้บอกตรงๆ ผู้ฉลาดจะต้องสังเกต และจงเรียนรู้เอานะครับ
บรรยากาศของหน้าผา ลานหิน บนยอดภูผาผึ้ง ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์แสงดวงอาทิตย์ที่แผ่รังสีลงมา ขณะการนั่งสมาธิภาวนาบนลานหิน บรรยากาศจะมัวๆ สลับมีแดดบ้าง ตามภาพครับ
แสงแผดจ้าของดวงอาทิตย์
ต่อมา พวกเราได้เดินทางไปยังเพิงผาสูง ที่มีภาพเขียนผนังคล้ายกันกับที่ผาแต้ม แต่อยู่สูงจากพื้นดินมาก และเล็กกว่า มีภาพแต้มเป็นรูปฝ่ามือของคนโบราณ ยุคก่อนประวัติศาสตร์ 3,000 ปีที่ผ่านมา ดินแดนแห่งนี้ พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านเล่าให้ฟังว่า เป็นดินแดนของเหล่าอริยเจ้า พระสงฆ์ ฤาษี ดาบส นักพรต ชีไพร แดนบังบด แดนเทพ และแดนวิญาณ มีทั้งดีและร้ายสุดๆ ผู้ใดมีพลังจิตและภูมิธรรมไม่เข้มแข็ง ไม่ควรเข้าไปบำเพ็ญผู้เดียวเป็นอันขาด
บริเวณเหล่านี้ เป็นที่พ่อแม่ครูอาจารย์ และผู้ติดตาม เคยมาบำเพ็ญอยู่หลายภพ ท่านเล่าให้ฟังว่า ภพหนึ่งท่านนุ่งห่มจีวรสีกลักเข้ม และถ้าจำไม่ผิด ผมได้ยินท่านหรือแม่ชมพูดว่า มีผู้ติดตามเป็นพระห้า เณรหนึ่ง
ตอนอยู่ในเพิงผา ผมได้นั่งสมาธิประมาณเกือบสิบนาที ปรากฏจิตดิ่งเร็วและสงบมาก แต่ต้องถอนสมาธิ เพราะหมดเวลาที่จะอยู่ตรงนั้น หลังจากนั้น องค์ พ.สุรเตโช ถามผมอย่างมีปริศนาว่า ระลึกรู้เห็นอะไรหรือเปล่า ผมตอบท่านว่า ยังไม่เห็นอะไรครับ ผมลองมาพิจารณาถึงคำพูดของท่าน หรือว่าเราเคยบำเพ็ญอยู่ ณ ที่แห่งนี้มาแล้ว จิตก็ดูคุ้นเคยกับที่แห่งนี้ เสมือนได้กลับบ้านเก่าอย่างนั้น
ภาพเพิงผาฮูปแต้ม
ภาพหน้าผาอีกด้านหนึ่งของภูผาผึ้ง
ภาพนักรบธรรม กับบรรยากาศของสถานที่ปฏิบัติธรรมภูดานไห กุฏิหลังน้อยๆเพื่อลดกิเลสความสุขสบาย และทางจงกรมที่เป็นธรรมธาติ
สถานที่จงกรมที่พวกเรามีส่วนร่วมสร้างถวายพ่อแม่ครูอาจารย์ เพื่อเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา และสังฆบูชา และท่านมีพระเมตตาสอนวิธีการจงกรมให้กับเหล่านักรบธรรมอีกด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น